“JKN-ITD” ไหวหรือไม่? ALL ไปแล้ว! คอลัมน์ เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์
อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกมาหลายรอบแล้วว่า หุ้นที่เริ่มขาดสภาพคล่องจนถึงขนาดต้องเบี้ยวหนี้หุ้นกู้ ไม่ว่า บริษัทใหญ่ หรือ เล็ก ล้วนแล้วแต่ไม่น่าไว้วางใจ
ล่าสุดหลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บมจ. ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ ALL ในคดีที่ถูกเจ้าหนี้มีประกันรายหนึ่งยื่นฟ้อง เป็นจำเลยในคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง ในมูลหนี้เงินกู้ทั้งสิ้นจำนวน 46,020,756.16 บาท
ตามติดมาด้วยการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ของ ALL เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างพิจารณาว่า บริษัทเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน กรณีถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามไปด้วย
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่มีชื่อเสียง มีโปรไฟล์ของบริษัท หรือโปรไฟล์ของผู้บริหารดีแค่ไหนก็ตาม ลองว่าถ้าเริ่มต้นการผิดสัญญาด้วยการเบี้ยวหนี้ หรือ เริ่มต้นจากการผิดนัดชำระเงินกู้ยืม ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน หรือด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ไม่ว่า ผู้บริหาร เจ้าของบริษัทรายใดจะคุยใหญ่ คุยโต ว่าตนไม่มีปัญหา แต่ที่แน่ๆ เจ๊เมาธ์บอกได้เลยว่า การขาดสภาพคล่อง ก็หมายความว่า ไม่มีเงินใช้หนี้อย่างแท้จริง แม้จะปากแข็ง หรือ คุยโตแค่ไหน แต่สุดท้ายส่วนใหญ่มักมีบทส่งท้ายด้วยการจบแบบ ไม่จะค่อยสวยด้วยกันทั้งนั้น
เอาเป็นว่าหลังจากนี้ไป เราก็คงจะต้องจับตาดูหลักทรัพย์ของบริษัท ที่ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้รายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ที่มี นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ที่มีหุ้นกู้คงค้าง 7 รุ่น มูลค่ารวมมูลค่า 3.2 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยครบกำหนดอย่างต่อเนื่อง หุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนอีก 1 พันล้านบาท ที่ปัจจุบันกำลังลุ้นระทึกกับปัญหาทางการเงิน จนต้องยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท
หรือ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ที่มี นายเปรมชัย กรรณสูต ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ในสัดส่วน 11.90% ปัจจุบันมีหุ้นกู้จำนวน 5 รุ่น มูลค่ารวม 14,455 ล้านบาท เป็นหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้ 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น ITD242A ครบกำหนด 15 กุมภาพันธ์ 2567 มูลค่า 2,000 ล้านบาท รุ่น ITD242DA ครบกำหนด 4 ธันวาคม 2567 มูลค่า 2,455 ล้านบาท รุ่น ITD24DB ครบกำหนด 4 ธันวาคม 2567 มูลค่า 1,215 ล้านบาท
ที่เหลืออีก 2 รุ่น ครบกำหนดในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ ได้แก่ รุ่น ITD254A ครบกำหนด 29 เมษายน 2568 มูลค่า 6,000 ล้านบาท รุ่น ITD266A ครบกำหนด 2 มิถุนายน 2568 มูลค่า 2,785 ล้านบาท
ขอให้จับตา JKN- ITD เอาไว้ด้วย ก็อย่างว่าของแบบนี้มันไม่แน่ ยิ่งตัวใหญ่ยิ่งมีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งล้มดัง และยิ่งโม้เอาไว้มากหรือยิ่งคุยเอาไว้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งล้มดังมากกว่าปกติตามไปด้วย เรื่องมันก็มีเท่านั้นเอง
ล่าสุด KEX ซึ่งได้แจ้งผลการดำเนินงานงวดปี 2566 ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 3,880.64 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 37.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ขาดทุนสุทธิ 2,829.84 ล้านบาท หลังจากผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของการสั่งซื้อสินค้าจากการซื้อผ่านทางออนไลน์ ไปสู่การซื้อตามหน้าร้านค้า (Physical offline shopping) หลังการเปิดประเทศ จนเป็นเหตุให้ปริมาณการจัดส่งพัสดุที่ลดลง
อีกทั้งการโยกหุ้นไปมาของบริษัทผู้ถือหุ้นใหญ่ในต่างประเทศ ซึ่งจบลงที่ราคาหุ้นละ 5.5 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมราวกว่า 7 พันล้านบาท ทั้งที่บริษัทไม่ได้ทำการออกหุ้นเพิ่มทุนแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้ตีความได้ว่า บริษัทแม่ในต่างประเทศยอมรับแล้วว่า มูลค่าหุ้นที่แท้จริงของ KEX ไม่ใช่ราคาไอพีโอ ที่เคยเปิดจองก่อนเข้าตลาดในราคา 28 บาท/หุ้น แต่ควรจะอยู่ที่ราคา 5.5 บาท/หุ้น เท่านั้น
ขณะเดียวกันก็ตีความไปได้อีกว่า นักลงทุนที่ติดอยู่ที่ราคาไอพีโอ 28 บาท/หุ้น เมื่อ 3 ปีก่อน ก็อาจจะต้องทำใจ เพราะทั้งผลการดำเนินงานและผู้ถือหุ้นใหญ่บอกใบ้ว่า มูลค่าหุ้นที่แท้จริงควรอยู่ที่เท่าไหร่นั่นเอง
สรุปคือในตอนนี้สำหรับหุ้นอย่าง KEX ยังไม่มีสัญญาณดีอะไรออกมา เอาเป็นว่า ถ้ามีความเปลี่ยนแปลงใดเจ๊เมาธ์จะเอามาเล่าให้ฟังใหม่นะคะ
ราคาหุ้นของ BEAUTY ปรับราคาแรงขึ้นมาเกือบเท่าตัว นับตั้งแต่เริ่มมีข่าวว่าจะมีการยกเลิกวีซ่าถาวรไทย-จีน ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 มี.ค. 2567 ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศ สามารถเดินทางข้ามประเทศได้สะดวกขึ้น
ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าจะทำให้สินค้าที่เคยขายดี และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจีนเช่น “เครื่องสำอาง” ก็จะขายดีตามไปด้วย BEAUTY KISS รวมไปถึง DDD มีราคาหุ้นปรับขึ้นตามไปด้วย และหากจะมองลึกลงไปกลับพบว่าในฝั่งของ BEAUTY แม้ว่า จะขาดทุนน้อยลง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงขาดทุนเช่นเดิม
ขณะเดียวกัน แม้จะมีมุมมองในเชิงบวกต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น แต่หากมองไปในเชิงลึกลงไปสักนิด กลับพบว่า ในช่วงหลังโควิด ผลการดำเนินงานของ BEAUTY ยังไม่ตอบสนองกับจำนวนของนักท่องเที่ยว อย่างที่ควรจะเป็น เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวซึ่งระบุว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ก็ได้เริ่มเดินทางเข้ามาแล้วก่อนหน้านี้หลายเดือน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ผลการดำเนินงานของของ BEAUTY แต่อย่างใด
ดังนั้น ถ้าชอบ หรือ อยากเล่นเก็งกำไรตามข่าวก็น่าจะพอได้ แต่หากจะถือยาวอาจจะต้องหาข้อมูลให้ดีมากขึ้น แล้วค่อยมาว่ากัน อย่างน้อยก็ต้องรอดูผลงาน 4/66 ออกมาก็น่าจะปลอดภัยกว่าตอนนี้นะคะ
ที่มา : https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/speak-every-district/587974